เส้นประธานสิบแบบเรียน๘๐๐
การนวดไทยเล่ม 1และเส้น10
1. เส้นอิทา
เริ่มต้นจากข้างสะดือด้านซ้าย 1 นิ้วมือ แล่น ลงไปบริเวณหัวเหน่าลงไปต้นขาซ้าย
ด้านในค่อนไปทางด้านหลัง ถึงหัวเข่า เเล้วเลี้ยวขึ้นไปเเนบข้างกระดูกสันหลังด้านซ้าย
ขึ้นไปบนศีรษะ เเล้วกลับลงมาสิ้นสุดที่ข้างจมูกซ้าย เส้นสิบกับการเกิดโรค
1.เส้นอิทา ลมประจำเส้นคือ
1.1 ลมจันทะกาลา อาการคือ ปวดหัวมาก ตามืดมัว ชัก ปากเบี้ยว เสียวหน้าตา เจ็บสันหลัง
เกิดเพื่อกำเดาเเละลมระคนกัน ให้ตัวร้อนเเละกลับเย็น มักจับวันพฤหัสตอนเย็น-กลางคืน
1.2 ลมปะกัง อาการคือ ตัวร้อน วิงเวียน ปวดหัวมาก
1.3 ลมพหิ อาการคือ เซื่องซึม สลบ คล้ายถูกงูกัด
1.4 ลมสัตตวาต อาการคือ ให้มือสั่น ตีนสั่น เพราะบริโภคอาหารวันละ 4-5 เวลา
2. เส้นปิงคลา
เริ่มต้นจากข้างสะดือด้านขวา 1 นิ้วมือ เเล่นลงไปบริเวณหัวเหน่าลงไปต้นขาขวาด้านใน
ค่อนไปด้านหลังถึงหัวเข่า เเล้วเลี้ยวขึ้นไปเเนบข้างกระดูกสันหลังด้านขวา ขึ้นไปบนศีรษะ
เเล้วกลับลงมา เส้นสิบกับการเกิดโรค
2.เส้นปิงคลา ลมประจำเส้นคือ
2.1 ลมสูรย์กาลา (สูญทกลา)
2.2 ลมปะกัง อาการคือ หน้าตาเเดง ปวดหัวตอนเช้าถึงเที่ยง ปวดหัวมาก ชัก ปากเอียง คัดจมูก น้ำมูกไหล จาม เจ็บตา น้ำตาไหล มักจับวันพฤหัส ห้ามกินของมันของเย็นเกินไป
2.3 ลมพหิ อาการคือ สลบไม่รู้ตัว ไม่พูดจา คล้ายถูกงูกัด
2.4 รัตนาวาต อาการคือ เมื่อยล้า ขัดทั่วทุกเเห่ง เพราะกินอาหารจำเจ เมื่อจะเป็นให้เเสบไส้พุง
อยากอาหารเเละของสดคาว
3. เส้นสุมนา
เริ่มจากเหนือสะดือ 2 นิ้ว เเล่นขึ้นไปภายในอก ผ่านลำคอขึ้นไปสิ้นสุดที่โคนลิ้น
เส้นสิบกับการเกิดโรค
3.เส้นสุมนา ลมประจำเส้นคือ
3.1 ลมชิวหาสดมภ์ อาการคือ ลิ้นกระด้างคางเเข็ง เซื่องซึม เจรจามิได้
3.2 ลมดาลตะคุณ (ลมมหาอัศดมภ์) อาการคือ จุกอก เอ็นเป็นลำจับหัวใจ มักจับวันอาทิตย์
3.3 ลมทะกรน อาการคือ ดวงจิตระส่ำระส่าย
3.4 ลมบาทจิตต์ อาการคือ เคลิบเคลิ้ม พูดติดขัด หลงลืม เเน่นอก อาเจียนเป็นลมเปล่า
หนาวร้อน ต้องฝืนกินอาหาร จะขย้อนออก
4. เส้นกาลทารี
เริ่มต้นที่เหนือสะดือ 1 นิ้วมือ เเล้วเเตกออกเป็น 4 เส้น 2 เส้นบนเเล่นขึ้นไปผ่าน ข้างชายโครง ผ่านสะบักใน ไปยังเเขนทั้ง 2 ข้าง ลงไปที่ข้อมือตลอดถึงนิ้วมือทั้งสิบ 2เส้นล่าง เเล่นลงไปบริเวณต้นขาด้านใน ผ่านหน้าเเข้งด้านในทั้ง 2 ข้าง ลงไปที่ข้อเท้า ตลอดถึงนิ้วเท้าทั้งสิบ
เส้นสิบกับการเกิดโรค
4.เส้นกาลทารี ลมประจำเส้นคือ
4.1 ไม่ระบุชื่อลม อาการคือ เหน็บชาทั้งตัว เจ็บเย็นสะท้าน เพราะกินอาหารเเสลง ได้เเก่
ขนมจีน ข้าวเหนียว ถั่ว มักจับวันอาทิตย์เเละวันจันทร์
5. เส้นสหัสรังษี
เริ่มต้นจากข้างสะดือซ้าย 3 นิ้วมือ เเล่นลงไปบริเวณต้นขาซ้ายด้านใน ผ่าน
หน้าเเข้งด้านใน โคนนิ้วเท้าซ้ายทั้งห้า เเล้วย้อนผ่านขอบฝ่าเท้าด้านนอกขึ้นมายังหน้าเเข้งด้านนอก ต้นขาด้านนอกไปชายโครง หัวนมซ้าย เเล้วเเล่นเข้าไปใต้คาง ขึ้นไปสิ้นสุดที่ตาข้างซ้าย
เส้นสิบกับการเกิดโรค
5.เส้นสหัสรังษี ลมประจำเส้นคือ
5.1 ลมอัคนิวาตคุณ(ลมจักขุนิวาต) อาการคือ เจ็บกระบอกตา วิงเวียน ตาพร่า ลืมตา ไม่ได้เพราะกินของมันของหวาน มักจับวันศุกร์
6. เส้นทวารี
เริ่มต้นจากข้างสะดือด้านขวา 3 นิ้วมือ เเล่นลงไปบริเวณต้นขาขวาด้านใน ผ่านหน้าเเข้งด้านใน ขอบฝ่าเท้าด้านในโคนนิ้วเท้าขวา ทั้งห้า เเล้วย้อนผ่านขอบฝ่าเท้าด้านนอก ขึ้นมายังหน้าเเข้งด้านนอก ต้นขาด้านนอก ไปชายโครงหัวนมขวา เเล้วเเล่นเข้าไปใต้คาง ขึ้นไปสิ้นสุดที่ตาขวา
เส้นสิบกับการเกิดโรค
6.เส้นทวารี ลมประจำเส้นคือ
6.1 ลมทิพจักษุ อาการคือ เจ็บกระบอกตา วิงเวียน ตาพร่า ลืมตาไม่ได้ อาจเป็นทั้ง2 ข้าง
หรือข้างขวา ข้างเดียว
6.2 ลมปัตฆาต อาการคือ เกิดจากเส้นทวารีพิการเรื้อรัง บังเกิดเพราะกินน้ำมะพร้าวอันมันหวาน เเละมีกามสังโยควันอังคาร
7. เส้นจันทภูสัง
เริ่มต้นจากข้างสะดือด้านซ้าย 4 นิ้วมือ เเล่นผ่านราวนมซ้าย ผ่านด้านข้างของคอ ขึ้นไปสิ้นสุดที่หูขวา เส้นสิบกับการเกิดโรค
7. เส้นจันทภูสัง ลมประจำเส้นคือ
7.1 ไม่ระบุชื่อลม เกิดเพราะอาบน้ำมาก ให้วิงเวียน จึงเป็นเเล มักจับวันพุธ
8. เส้นรุชำ(รุทัง)
เริ่มต้นจากข้างสะดือด้านขวา 4 นิ้วมือ เเล่นผ่านราวนมขวา ผ่านด้านข้างของคอ
ไปสิ้นสุดที่หูขวา เส้นสิบกับการเกิดโรค
8. เส้นรุชำ ลมประจำเส้นคือ
8.1 ไม่ระบุชื่อลม เกิดเพราะ กินน้ำมะพร้าวของอันมัน มักให้เจ็บท้องนัก มักจับวันอังคาร
บางตำราบอกว่ามักจับวันอาทิตย์ ทำให้หูตึง ลมออกจากหู
9. เส้นสุขุมัง
เริ่มต้นจากใต้สะดือ 2 นิ้วมือ เยื้องซ้ายเล็กน้อย เเล่นไปยังทวารหนัก
เส้นสิบกับการเกิดโรค
9. สุขุมัง ลมประจำเส้นคือ
9.1 ไม่ระบุชื่อลม เกิดเพราะกินอาหารโอชะมัน ทำให้ตึงทวาร เจ็บท้อง ราวท้องจะเเตก
กินอาหารเเม้น้อยก็คับท้อง ขัดอุจจาระ บางทีก็ลงไปเปล่า มักจับวันอาทิตย์
10. เส้นสิกขิณี
เริ่มต้นจากใต้สะดือ 2 นิ้วมือ เยื้องขวาเล็กน้อย เเล่นไปยังทวารเบา
เส้นสิบกับการเกิดโรค
10. เส้นสิกขิณี ลมประจำเส้นคือ
10.1 กุจฉิสยาวาตา อาการคือ เสียดสีข้างทั้งสอง ขัดเบา ปัสสาวะขุ่น เจ็บหัวเหน่าลงท้อง ท้องขึ้น พะอืดพะอมท้อง ผู้ชายบังเกิดในองคชาติ เป็นเพื่อกามราคะนั้นหน่วงเอ็น ทำให้ปัสสาวะหยดย้อย หนองใน เป็นอุปะทมไส้ด้วน ไส้ลาม ผู้หญิงเป้นเพื่อโลหิตหรือเอ็นในมดลูกพิการ เรียกว่าลมกามทุจริต เจ็บท้อง สีข้างสะเอว เเล้วเเล่นเข้าไปในท้อง เเล้วลงมารั้งหัวเข่าทั้งสองข้าง
อ่านเป็นกลอนเเปด
เป็นหมอนวด อย่าลบหลู่ ดูถูกเส้น ต้องรู้เห็น เส้นสาย ได้ทุกที่ เส้นประธานสิบ หลักฐาน โบราณมี รอบนาภี เเยกเส้นสาย ให้พลัง
1. เส้นอิทา ผ่านหัวเหน่า เข้าเข่าซ้าย พอเข้าใกล้ หัวเข่า วกเข้าหลังผ่านศีรษะ มาจมูกซ้าย ให้ระวัง โรคปวดหลัง ตามัว ปวดจริง
2. เส้นปิงคลา เกิดสลับ กับอิทา อยู่ด้านขวา ทุกอย่าง ที่อ้างอิงอาการโรค ละม้าย คล้ายกันจริง นวดกดนิ่ง หน้า หัว ทั่วท้ายทอย
3. เส้นสุมนา ผ่านหัวใจ ไปโคนลิ้น ยากกลืนกิน พูดจา หน้าละห้อยลิ้นกระด้าง คางเเข็ง เรี่ยวเเรงน้อย จิตเหงาหงอย คลุ้มคลั่ง ต่างๆ นาๆ
4. เส้นกาลทารี กลางนาภี เเยกสี่เส้น มีสองเส้น ร้อยสะบักใน สู่ใบหน้าเเล้ววกกลับ เเขนขวาซ้าย ปลายนิ้วนา สองบาทา เเยกหนึ่งเส้น เป็นสำคัญ
5. เส้นสหัสรังษี ลงที่เท้าซ้าย วกขึ้นไป เเล่นลอด ทอดเต้าถันเเนบลำคอ ขากรรไกร ใบหน้าพลัน ไปสุดกัน ที่ตาซ้าย ให้จดจำ
6. เส้นทวารี สลับกับรังษี ทุกเส้นที่ อยู่ทางขวา ดูนำขำกินของมัน หวานเกินไป ไม่ควรทำ กินประจำ ผลสนอง เกี่ยวข้องตา
7. จันทภูสังไ ปยังนมซ้าย เลยออกไป หูซ้าย ไม่กังขา
8. เส้นรุชำ สลับกับ ภูสังนา ไปหูขวา ถ้าหูตึง คลึงเส้นนี้
9. สิขิณี ไปที่ อวัยวะเพศ มีสาเหตุ จากไต ไม่ได้ที่โรคโลหิต มดลูก ทุกนารี นวดเส้นนี้ เอว
สะโพก โรคทุเลา
10. เส้นสุขุมัง หยุดยั้ง ทวารหนัก ลำไส้พัก จุดผาย ถ่ายของเก่าถ้ากินได้ ไม่ถ่าย จะตายเอา นวดเบาๆ หน้าท้อง คล่องระบาย ทั้งสิบเส้น ที่กล่าว คร่าวๆนี้ เพื่อช่วยชี้ ช่วยจำ นำขยายเป็นหมอนวด ต้องฝึกฝน จนวันตาย มันไม่ง่าย เหมือนปอกกล้วย ช่วยคิดเอย
ส่วนหนังสือ นวดไทย ของอาจารย์ รัตติยา จินเดหวา (2)
เส้นมุตฆาต มีตำแหน่งต่ำ จากสะดือ ห่างลงมาประมาณ 2 นิ้ว และอยู่ลึก ลงไป ประมาณ 2 นิ้ว แนวแล่นของเส้นออกไปดังนี้
· แนวเส้นแล่นลงไปใน หัวเหน่า ไปที่องคชาติผู้ชาย
· ถ้าเป็นผู้หญิง จะเข้าไปในบริเวณ อวัยวะเพศหญิง
เส้นสัทฆาต แนวแล่นของเส้น อยู่ทั้งด้านซ้าย และด้านขวา ของบริเวณท้อง ใกล้สะเอว เส้นสันฑฆาต ห่างจากสะดือ 4 นิ้ว มีแนวแล่นออกดังนี้
- แล่นลงมาที่ต้นขาด้านใใน
- แล่นผ่านใน ใต้พับกระดูกข้อเข่า
- แล่นลงไปขาที่ ในบริเวณกล้ามเนื้อน่อง
- แล่นลงไปที่ ริมเท้าใต้ตาตุ่ม หลังข้อเท้า
- แล่นเข้าไปในฝ่าเท้า เข้าอุ้งเท้า แต่ไม่ผ่านโคนนิ้วเท้า- แล่นวกกลับมาที่บริเวณด้านนอก
- แล่นขึ้นผ่านใต้พับเข่า
- แล่นขึ้นไปต้นขาด้านนออก
- แล่นเข้าไปในตะโพก ขึ้นไปที่ในบริเวณ กล้ามเนื้อหลัง
- แล่นต่อเนื่อง ไปที่สะบักหลัง
- ผ่านมาที่ บริเวณราวนม ( สะบักหน้า) ใต้ต่อกระดูกไหปลาร้า ไปขึ้นที่คอ แล้ววกกลับที่ท้อง
เส้นปัตตฆาต ตำแหน่งต่ำ จากเส้น สันฑฆาต อีก 1 นิ้ว ต่างกับสันฑฆาต คือ จะค่อนข้างมาทางด้านสะเอวขึ้นไปที่บ่า ลงมาด้านหน้า กลับมาที่ท้องเหมือนเดิม
เส้น รัตตฆาต แนวแล่นของเส้นรัตตฆาต แล่นลงมา ใกล้กับแนวแล่นของเส้น สันฑฆาต และปัตตฆาต แต่ เมื่อขึ้นไปในตะโพกแล้ว แนวแล่นของเส้นนี้ จะแล่นผ่าน ริมข้อกระดูกตะโพก ด้านใน ขึ้นไปที่สเะเอว และ เลยขึ้นไป อยู่ในบริเวณ ชายโครงเลยไปที่บริเวณรักแร้ด้านใน
เส้นสิบที่เกี่ยวข้องกับเท้า
1. เส้นอิทา ปิงคลา สุมนา และกาลธารี แต่จุด และเส้นดังกล่าว บริเวณเท้า เมื่อขัดข้อง ก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้อง กับเท้าโดยตรง ไม่ได้ไปเกี่ยวพัน กับอวัยวะอื่น เช่น แก้ลมข้อเท้า ร้อนหลังเท้า แก้ตะคริว แก้กล่อน เป็นต้น
2. เส้นสหัสรังษี และทุวารี เป็นเส้นที่ไปที่เท้าด้วย เมื่อขัดข้องจะเกี่ยวข้องกับตาทั้งสองข้าง เช่น แก้ลม เสียวจักษุ แก้จักษุเพื่อกล่อน ลมแทงจักษุ แก้จักษุเพื่ออันฑพฤกษ์ แก้ลมจักษุเพื่อช้ำใน ความเชื่อพื้นบ้านไทย เมื่อเจ็บตา ฝุ่นเข้าตา ให้กลั้นลมหายใจ แล้วใช้น้ำรดหัวแม่เท้า จะหายเคืองตา นับเป็นเส้นที่แสดงความเชื่อมต่อ ระหว่างเท้ากับอวัยวะอื่น ที่ห่างกัน
3. เส้นสิขิณี และสุขุมัง เป็นอีกสองเส้น ที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ กล่าวคือ เส้นสิขิณีไปที่เท้า มีผลต่อระบบปัสสาวะ ได้แก่ แก้ลมปัสสาวะดำ และลมปัสสาวะเหลือง ส่วนเส้นสุขุมัง แก้ร้อนเกินกำหนด แก้กระหายน้ำ แก้ลมแสยงขน แก้ลมทำให้เสียว แก้กองลมอติสาร จะเห็นได้ว่า แม้ไม่ระบุอวัยวะชัดเจน แต่ก็มีผลต่อระบบขับถ่าย และระบบอัตโนมัติอื่นๆ ที่มิได้เกี่ยวข้อง กับโรคของเท้าโดยตรง
เส้นประธานสิบระดับสูง
ความหมายของเส้นประธาน เส้นประธาน คือ เส้นซึ่งเป็นหลักสำคัญของวิชาการนวดไทย ตามที่บูรพาจารย์ได้ถ่ายทอดสืบต่อกันมา เชื่อกันว่ามีเส้นอยู่ในร่างกายถึง 72,000 เส้น แต่ที่เป็นเส้นประธานแห่งเส้นทั้งปวงมีเพียง 10 เส้นเท่านั้น เส้นประธานเป็นทางเดินของลม ซึ่งเป็นพลังกายในที่หล่อเลี้ยงร่างกายให้ทำงานได้ตามปกติ
ความสำคัญของเส้นประธาน เส้นประธานมีความสำคัญต่อการบำบัดรักษาโรคด้วยวิธีการนวดไทย เพราะเป็นโครงสร้างที่ใช้ในการอธิบายถึงความเป็นปกติสุข และความผิดปกติของร่างกายได้ โดยเฉพาะความผิดปกติซึ่งมีสาเหตุมาจากการติดขัดหรือกำเริบของลม จึงสามารถนำมาใช้ในการตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุของความผิดปกตินั้น ว่ามีความสัมพันธ์กับเส้นประธานเส้นใด รวมทั้งสามารถกำหนดวิธีการนวดรักษา ที่สอดคล้องสัมพันธ์กับเส้นประธานนั้นได้อย่างมีหลักการ
โครงสร้างเส้นประธาน ถ้าพิจารณาโดยรอบคอบและทดลองปฏิบัติตามตำราแล้ว เส้นประธานไม่น่าจะหมายถึงหลอดเลือด หรือเอ็นอย่างที่เข้าใจกัน เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับความรู้ทางกายวิภาคสมัยใหม่ พบว่าทางเดินของเส้นประธานที่จะกล่าวถึงต่อไปนั้น ไม่สอดคล้องสัมพันธ์กับทางเดินของหลอดเลือด หรือเส้นเอ็นอย่างตรงตัวเสียทีเดียว และจากากรศึกษาโดยการกดจุดเริ่มต้นของเส้นประธานบริเวณสะดือแล้ว พบว่าเกิดความรู้สึกแล่นไปได้ตามทิศทางที่ระบุไว้ในตำรา จึงเป็นไปได้ว่าทางเดินของเส้นประธานก็คือ ทิศทางการแล่นของกระแสความรู้สึกที่เกิดจากการกดจุดต่างๆ นั่นเอง อาจกล่าวได้ว่าลักษณะโครงสร้างทางกายภาพของเส้นปราน ยังไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่าเป็นโครงสร้างแบบใด และจากการศึกษาโครงสร้างอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกายที่สามารถเกิดกระแสความรู้สึกแล่นภายในร่างกาย พบว่า โครงสร้างภายในร่างกาย ที่สามารถทำให้เกิดความรู้สึกแล่นได้นั้น อาจเป็นเส้นประสาท เยื่อหุ้มกระดูก พังผืด เยื่อหุ้มกล้ามเนื้อ หรือผนังหลอดเลือด ซึ่งเป็นโครงสร้างที่มีปลายประสาทมาเลี้ยง การนวดเป็นการกระตุ้นให้เกิดการตอบสนอง ทางสรีรวิทยาเพื่อเกิดผลในการรักษา จึงอาจเป็นการนวดที่โครงสร้างใดโครงสร้างหนึ่งหรือหลายโครงสร้างผสานกัน โดยประสานเชื่อมต่อผ่านทางปลายประสาทดังกล่าว นอกจากนี้เมื่อศึกษาวิวัฒนาการของตัวอ่อนของมนุษย์ พบว่า เนื้อเยื่อชั้นนอกสุดของตัวอ่อน ได้วิวัฒนาการเติบโตไปเป็นส่วนของผิวหนังและระบบประสาท การเชื่อมต่อประสานของระบบประสาท จึงมีลักษณะเป็นเครือข่ายร่างแหครอบคลุมทั่วร่างกาย จึงเป็นไปได้ที่จะสันนิษฐานว่าโครงสร้างของเส้นประธาน ซึ่งสัมพันธ์กับปลายประสาท อาจจะมีโครงสร้างเป็นแบบเครือข่ายร่างแหเช่นเดียวกัน
องค์ประกอบที่สัมพันธ์กับเส้นประธาน มี 3 องค์ประกอบที่สำคัญ คือ
1. เส้น ซึ่งมีเส้นประธาน และเส้นแขนงต่างๆ มีทางเดินของเส้นที่แน่นอน
2. ลม เป็นพลังซึ่งแล่นไปตามเส้น หากลมแล่นไม่ปกติ มีการติดขัด ย่อมก่อโทษทำให้เกิดความเจ็บป่วย
3. จุด เป็นตำแหน่งบนร่างกายที่มีความสัมพันธ์กับเส้น เมื่อกดหรือกระตุ้นถูกจุด จะเกิดกระแสความรู้สึกแล่นของลมไปตามแนวเส้นได้
ทางเดินเส้นสิบ
1. เส้นอิทา เริ่มต้นจากข้างสะดือด้านซ้าย 1 นิ้วมือ เเล่นลงไปบริเวณหัวเหน่าลงไปต้นขาซ้ายด้านในค่อนไปทางด้านหลัง ถึงหัวเข่า เเล้วเลี้ยวขึ้นไปเเนบข้างกระดูกสันหลังด้านซ้าย ขึ้นไปบนศีรษะ เเล้วกลับลงมาสิ้นสุดที่ข้างจมูกซ้าย
2. เส้นปิงคลา เริ่มต้นจากข้างสะดือด้านขวา 1 นิ้วมือ เเล่นลงไปบริเวณหัวเหน่าลงไปต้นขาขวาด้านในค่อนไปด้านหลังถึงหัวเข่า เเล้วเลี้ยวขึ้นไปเเนบข้างกระดูกสันหลังด้านขวา ขึ้นบนศีรษะเเล้วกลับลงมามาสิ้นสุดที่ข้างจมูกขวา
3. เส้นสุมนา เริ่มจากเหนือสะดือ 2 นิ้ว เเล่นขึ้นไปภายในอก ผ่านลำคอขึ้นไปสิ้นสุดที่โคนลิ้น
4. เส้นกาลทารี เริ่มต้นที่เหนือสะดือ 1 นิ้วมือ เเล้วเเตกออกเป็น 4 เส้น 2 เส้นบนเเล่นขึ้นไปผ่านข้างชายโครง ผ่านสะบักใน ไปยังเเขนทั้ง 2 ข้าง ลงไปที่ข้อมือตลอดถึงนิ้วมือทั้งสิบ 2เส้นล่างเเล่นลงไปบริเวณต้นขาด้านใน ผ่านหน้าเเข้งด้านในทั้ง 2 ข้าง ลงไปที่ข้อเท้า ตลอดถึงนิ้วเท้าทั้งสิบ
5. เส้นสหัสรังษี เริ่มต้นจากข้างสะดือซ้าย 3 นิ้วมือ เเล่นลงไปบริเวณต้นขาซ้ายด้านใน ผ่านหน้าเเข้งด้านใน โคนนิ้วเท้าซ้ายทั้งห้า เเล้วย้อนผ่านขอบฝ่าเท้าด้านนอกขึ้นมายังหน้าเเข้งด้านนอก ต้นขาด้านนอกไปชายโครง หัวนมซ้าย เเล้วเเล่นเข้าไปใต้คาง ขึ้นไปสิ้นสุดที่ตาข้างซ้าย
6. เส้นทวารี เริ่มต้นจากข้างสะดือด้านขวา 3 นิ้วมือ เเล่นลงไปบริเวณต้นขาขวาด้านใน ผ่านหน้าเเข้งด้านใน ขอบฝ่าเท้าด้านในโคนนิ้วเท้าขวา ทั้งห้า เเล้วย้อนผ่านขอบฝ่าเท้าด้านนอก ขึ้นมายังหน้าเเข้งด้านนอก ต้นขาด้านนอก ไปชายโครงหัวนมขวา เเล้วเเล่นเข้าไปใต้คาง ขึ้นไปสิ้นสุดที่ตาขวา
7. เส้นจันทภูสัง เริ่มต้นจากข้างสะดือด้านซ้าย 4 นิ้วมือ เเล่นผ่านราวนมซ้าย ผ่านข้างคอ สิ้นสุดที่หูซ้าย
8. เส้นรุชำ(รุทัง)เริ่มต้นจากข้างสะดือด้านขวา 4 นิ้วมือ เเล่นผ่านราวนมขวา ผ่านข้างคอ ไปสิ้นสุดที่หูขวา
9. เส้นสุขุมัง เริ่มต้นจากใต้สะดือ 2 นิ้วมือ เยื้องซ้ายเล็กน้อย เเล่นไปยังทวารหนัก
10. เส้นสิกขิณี เริ่มต้นจากใต้สะดือ 2 นิ้วมือ เยื้องขวาเล็กน้อย เเล่นไปยังทวารเบา
ทางเดินของเส้นประธาน ทางเดินของเส้นประธาน หมายถึง ทางเดินของพลังลมที่แล่นภายในร่างกายซึ่งสามารถรับรู้ได้ เมื่อกดจุดที่สัมพันธ์กับเส้นประธานนั้นๆ ทางเดินดังกล่าวมีทิศทางที่แน่นอน และมีลักษณะเป็นแนวแถวทอดไปอย่างเป็นระเบียบ
1.เส้นอิทา ลมประจำเส้นคือ
1.1 ลมจันทะกาลา อาการคือ ปวดหัวมาก ตามืดมัว ชัก ปากเบี้ยว เสียวหน้าตา เจ็บสันหลัง เกิดเพื่อกำเดาเเละลมระคนกัน ให้ตัวร้อนเเละกลับเย็น มักจับวันพฤหัสตอนเย็น-โดยเฉพาะตอนกลางคืน
1.2 ลมปะกัง อาการคือ ตัวร้อน วิงเวียน ปวดหัวมากโดยเฉพาะตอนกลางคืน
1.3 ลมสรรนิบาต ทำให้เกิดเสมหะในลำคอ มีอาการปวดหัวมาก ตามืดมัว ตาวิง เพราะมองแสงระยิบระยับตอนกลางคืน เรียกว่าตาฟางไก่ มีไข้ จับตัวร้อน ชัก ปากเบี้ยว เสียวหน้าตา ชาใบหน้า เจ็บสันหลัง ปวดหัวเข่า(กำเดา ปิตตะ ระคนกัน) ถ้าเป็นถึง 7 วัน อาจถึงแก่ชีวิต
1.4 ลมพหิ อาการคือ เซื่องซึม สลบ คล้ายถูกงูลายสาปกัด
1.5 ลมสัตตวาต อาการคือ ให้มือสั่น ตีนสั่น เหมือนถูกมีดกรีดเนื้อเพราะกินอาหารวันละ 4-5 เวลา
เส้นอิทาผิดปกติเกิดโทษ : จะเห็นได้ว่าโทษของเส้นอิทา ค่อนข้างร้ายแรง มาก ถึงตายได้เรียกว่า " ลมจันทร์ " ทำให้เป็นไข้ตัวร้อนเเละกลับเย็น มักจับวันพฤหัส ตอนเย็น-กลางคืน แนวเส้นอิทา น่าจะเป็นเส้นเลือดและเส้นประสาทที่มาเลี้ยงบริเวณลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย ส่วนหนึ่งไปเลี้ยงรอบ ๆ อวัยวะเพศ ส่วนหนึ่งไปเลี้ยงขา
วิธีแก้ : ให้นวดตามแนวเส้นอิทาแล้วปรุงยาประกอบด้วย และบางรั้งอาจมีพิธีกรรมหรือการประกอบยาเป็นพิเศษ ซึ่งจะต้องศึกษาให้ลึกซึ้งต่อไป
2.เส้นปิงคลา ลมประจำเส้นคือ ลมสูรย์กาลา(สูญทกลา)
2.1 ลมสูรย์กาลา(สูญทกลา) ปวดศีรษะมากตั้งแต่เช้าจนพระอาทิตย์ตกดิน มักมีอาการชัก ปากเบี้ยว คัดจมูก น้ำมูกไหล จาม เจ็บตาตาแดง น้ำตาไหล
2.2 ลมปะกัง อาการคือ หน้าตาเเดง ปวดหัวมาก ตอนเช้าถึงพระอาทิตย์ตกดินโดยเฉพาะตอนเที่ยง และมีอาการตามการเคลื่อนไหวของดวงอาทิตย์มักจับวันพฤหัส ห้ามกินของมันของเย็นเกินไป
2.3 ลมสรรนิบาต ทำให้เกิดเสมหะในลำคอ มีอาการปวดหัวมาก ตามืดมัว ตาวิง เพราะมองแสงระยิบระยับตอนกลางวัน มีไข้ จับตัวร้อน ชัก ปากเบี้ยว เสียวหน้าตา ชาใบหน้า เจ็บสันหลัง ปวดหัวเข่า(กำเดา ปิตตะ ระคนกัน) ถ้าเป็นถึง 7 วัน อาจถึงแก่ชีวิต
2.4 ลมพหิ อาการคือ สลบไม่รู้ตัว ไม่พูดจา คล้ายถูกงูทับสมิงคลากัด
2.4 รัตนาวาต อาการคือ เมื่อยล้า ขัดทั่วทุกเเห่ง(สรรพางค์กาย) เพราะกินอาหารจำเจ เมื่อจะเป็นให้เเสบไส้พุง อยากอาหารเเละของสดคาว
วิธีแก้ : นวดตามแนวเส้นปิงคลา นวดตั้งแต่กระหม่อม ตา ไรผม ต้นคอ ตามใบหูบริเวณทัดดอกไม้ และที่กระหม่อม แล้วเลื่อนลงมาที่จุดศูนย์กลาง บริเวณจมูกขวา ถ้าเป็นสันนิบาติลมประกัง นวดระหว่างคิ้วทั้งสอง บริเวณหน้าผาก คลึงไปท้ายผม หลังใต้หู ให้นวดทั้งสองข้างโดยเน้นข้างจมูกทั้งสองข้าง
เส้นปิงคลา คล้ายกับเส้นอิทามาก แตกต่างกันเพียงอยู่คนละข้างของลำตัว บริเวณคอและอก มีโรคและจุดคล้ายคลึงกัน ได้แก่ปวดขมับเกี่ยวกับสะบัก แก้สะบักจม เส้นอิทาแก้ลมดูสะบัก โดยมีจุดนวดเยื้องกันค่อนมาทางกลางตัว เส้นปิงคลามีจุดเกี่ยวกับน้ำนมเหมือนกันและมีโรคหรืออาการ 3 อย่างเช่นกัน ได้แก่ หาวเรอ คัดจมูก หูหนัก อยู่บริเวณกระดูกอกด้านขวา มีโรคหลายโรคที่เกี่ยวข้องกับธาตุ เช่น แก้เตโชให้ออก และมีคำว่า" กล่อน" ซึ่งแปลว่า เสื่อมชำรุด หลุด ได้แก่ กล่อนลงฝัก คือไส้เลื่อน กล่อนลงแข้ง เป็นอาการของกระดูกกล้ามเนื้อบริเวณแข้ง เข่า ทำให้เมื่อยขบเป็นต้น
จากการเปรียบเทียบทางกายวิภาคศาสตร์ เส้นนี้เหมือนเส้นอิทา คืออาจเป็น เส้นเอ็น เส้นเลือด เส้นประสาท การทำงานของประสาทอัตโนมัติและสมองซีกขวา และเมื่อพิจารณาผลของเส้นอิทาและปิงคลา หากพิการและกำเริบแล้ว มีลักษณะ ของอัมพาต ปากเบี้ยว โดยมีอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรงเป็นอาการนำ ซึงหากเป็นด้านขวา เรียกสุริยะกลา ด้านซ้ายเรียกจันทะกลา ลมสุริยะ และลมจันทร์ ซึงมีคำว่าลมปะกังเป็นพิษทั้งเส้นอิทาและปิงคลา รวมทั้งลมขึ้นเบื้องสูง อาการเหล่านี้นาจะมีผลจากเส้นเลือดในสมองแตก ตีบตัน หรือมีการหดตัวเป็นบางครั้ง ปัจจุบันพบว่ามีผลมาจากความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง สำหรับลมประกัง ปัจจุบันนำมาใช้เรียกปวดศีรษะข้างเดียว ซึ่งในที่นี้มิได้กล่าวเช่นนั้น เพราะคำว่าลมประกังตามแผนโบราณมีความหมายมากกว่าปวดศรีษะข้างเดียว (Migrain)
3.เส้นสุมนา (สุสมนา)ลมประจำเส้นคือ
3.1 ลมชิวหาสดมภ์ ทำให้เกิดอาการคือ หาวเรอ คลื่นเหียน ขากรรไกรแข็ง ลิ้นกระด้างคางเเข็ง กินอาหารไม่รู้รส พูดลำบาก พูดไม่ชัด เจรจามิได้ หนักอก หนักใจเพราะพิษลมทำให้เซื่องซึม
3.2 ลมดาลตะคุณ(ลมมหาอัศดมภ์) ทำไห้เกิดอาการคือ จุกอก เอ็นเป็นลำ หน้าท้องแข็งจับหัวใจ แน่นหน้าอกเพราะลมหมุน ถ้าเป็นมากเรียกลม มหาอัสดมภ์ทำให้มีอาการหมดสติ มักจับวันอาทิตย์
3.3 ลมทะกรน ทำให้เกิดอาการคือ ดวงจิตระส่ำระส่าย
3.4 ลมบาทจิต อาการคือ เคลิบเคลิ้ม มักพูดติดขัด หลงลืม เกิดจากลมจับหัวใจทำให้จิตฟุ้งซ่าน เเน่นอก อาเจียนเป็นลมเปล่า อ่อนแรงหนาวร้อน ต้องฝืนกินอาหาร จะขย้อนออกเหมือนอาการแพ้ท้อง
เส้นสุมนาพิการ : ดังนั้นสุมนาน่าจะหมายถึงหัวใจ การเต้นของหัวใจ เส้นเลือดแดงใหญ่ หรือระบบประสาทในระดับสะดือถึงปลายลิ้น นอกจากนี้น่าจะหมายถึงการทำงานของสมอง ประสาท หากผิดปกติจะเกิดโรคจิตโรคประสาท โรคทางสมอง โรคหัวใจ
เส้นสุมนาเป็นเส้นที่ อยู่กลางลำตัวซึ่งมีความสำคัญมาก หมายถึงบริเวณหัวใจ การทำงานของสมองกลุ่มประสาทต่าง ๆ ที่อยู่กลางตัว จากการสังเกตลักษณะโรคและอาการเมื่อสุมนากำเริมมีผล 2 ประการคือ หรือทางจิต จิตคลุ้มคลั้ง ละเมอเพ้อพก นอนไม่หลับ ผลอีกประการ เกี่ยวกับการทำงานของลิ้นเป็นสำคัญ เช่นลิ้นไม่รู้รสขมปาก หวานปาก ลิ้นกระด้างคางแข็ง ลิ้นหดแยกมิออก สำหรับอาการสุมนากำเริบเรียกว่าลม ดาลตะคุณ มีอาการจุกอก อาการร้ายแรงอาจตายได้ อาการนี้อาจอธิบายได้ว่าเป็นโรคเกี่ยวกับหัวใจ กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
วิธีแก้ : การนวดให้นวดตามแนวเส้นเส้นสุมนา โดยนวดอย่างแผ่วเบา อย่าออกแรงมาก และอย่าใช้เวลานวดนาน เมื่ออาการดีขึ้นแล้วให้วางยา ควรวางยาด้วยยารสหอม รสขม กลิ่นหอมสุขุมไม่ควรเย็นหรือร้อน
4.เส้นกาลทารี (ฆานทารี) ลมประจำเส้นคือ
4.1 ไม่ระบุชื่อลม(ศัพท์แพทย์ไทย มหิดลคือลมหมู่หนึ่งขึ้นมาจับและใบหูหน้าผาก ให้เจ็บตาและแสบจมูก กินอาหารไม่ได้ให้เย็นเป็นเหน็บ
4.2 ลมที่เกิดในเส้นชื่อ นิยมสหัสรังสี เป็นผลมาจากเส้นกาลธารีเรื้อรัง ทำให้มีอาการเหน็บชาทั้งตัว จับเย็นสะท้าน (หนาวมาก) เมื่อแรกจับจะนอนแน่นิ่งขยับแขนขามิได้เป็นลักษณะของ อัมพฤกษ์ อันพาต
เพราะกินอาหารเเสลง ได้เเก่ ขนมจีน ข้าวเหนียว ถั่ว มักจับวันอาทิตย์เเละวันจันทร์
เส้นกาลทารี น่าจะใกล้เคียงกับระบบเส้นเลือด และระบบประสาทที่ไปเลี้ยงบริเวณแขน ขา ท้อง อาการที่พบบ่อยมักได้แก่ แขน ขา เอว
วิธีแก้ : นวดตามแนวเส้นกาลทารี แล้วใช้ยาแก้ปัถวีธาตุมากิน เพื่อบรรเทาเบาบาง กาลทารี
5.เส้นสหัสรังษี (หัสรังษี) (หัสฤดี) ลมประจำเส้นคือ
5.1 ลมจักขุนิวาต อาการคือ เจ็บกระบอกตา วิงเวียน ตาพร่า ลืมตา ไม่ได้เพราะกินของมันของหวาน มักจับวันศุกร์
5.2 ลมอัคนิวาตคุณ คล้ายลมจักขุนิวาต แต่มีอาการร้อนที่เบ้าตาเพิ่ม
วิธีแก้ : การนวดให้นวดตามแนวเส้นสหัสรังษี
6.เส้นทวารี (ทวาคตา) (ทวารจันทร์) ( ฆานทวารี) ลมประจำเส้นคือ
6.1 ลมทิพจักษุ อาการ เจ็บกระบอกตา วิงเวียน ตาพร่า ลืมตาไม่ได้ อาจเป็นทั้ง2 ข้าง หรือข้างเดียว
6.2 ลมปัตฆาต เกิดจากลมทิพจักษุพิการเรื้อรัง บังเกิดเพราะกินน้ำมะพร้าวอันมันหวาน เเละมีกามสังโยควันอังคาร
วิธีแก้ : ให้นวดท้องก่อน แล้วไล่ไปตามเส้นทุวารี ไปที่ต้นคอทั้ง 2 นวดทั้ง 2 เส้นจะทำให้ตาหายพร่ามัว
7. เส้นจันทภูสัง (อุรัง) ( ภูสำพวัง) (สัมปะสาโส) ( ลาวุสัง) หูซ้ายลมประจำเส้นคือ
7.1 ลมคะทาหุ เกิดอาการหูตึง หูอื้อ ลมออกหูทั้งซ้าย ขวา เพราะอาบน้ำมาก ให้วิงเวียน จึงเป็นเเล้ว มักจับวันพุธ
7.2 ลมคัพภาหะ ทำให้หูตึงข้างซ้าย
เส้นจันทภูสัง เกี่ยวกับหูเป็นส่วนใหญ่ละบริเวณคอ การนวดจุดอื่น ๆ เพิ่มเติม น่าจะเกี่ยวข้องกับระบบประสาทอัตโนมัติ ซึ่งมีผลกับต่อมน้ำลาย การเบื่ออาหาร หรือเจริญอาหาร และการนอน
วิธีแก้ : นวดใบหู นวดตามเส้นเส้นจันทภูสัง (หูซ้าย) จะทำให้เรียกชื่ออื้ออึง
8. เส้นรุชำ หรือ รุทัง (สุขุมอุสะมา) (อุลังกะ) ลมประจำเส้นคือ
8.1 คะทาหุชื่อลม ทำให้หูตึง หูอื้อ ลมออกจากหู ลมออกหูทั้งซ้าย ขวา
8.2 ทาระกรรณ(ธารตรน) ทำให้เกิดอาการเสียงก้องในหู หูตึง หูอื้อ ลมออกหู เกิดเพราะ กินน้ำมะพร้าวของอันมัน มักให้เจ็บท้องนัก มักจับวันอังคาร บางตำราบอกว่ามักจับวันอาทิตย์
เส้นรุชำ เกี่ยวกับหูเป็นส่วนใหญ่ละบริเวณคอ การนวดจุดอื่น ๆ เพิ่มเติม น่าจะเกี่ยวข้องกับระบบประสาทอัตโนมัติ ซึ่งมีผลกับต่อมน้ำลาย การเบื่ออาหาร หรือเจริญอาหาร และการนอน
วิธีแก้ : นวดใบหู นวดตามเส้นเส้นรุชำ (หูขวา) จะทำให้เรียกชื่อ อื้ออึงหายถ้ายังไม่ได้ยินเสียงแสดงว่าเกิด ลมชื่อ ' ทาระกรรณ์"ให้กลับมานวดที่สะเอวด้วย แล้วคลึงตามเส้นขึ้นไปใหม่กับกินยาประกอบ
9. สุขุมัง (กักขุง) (กุขุง) ลมประจำเส้นคือ
9.1 ไม่ระบุชื่อลม(ศัพท์แพทย์ไทย มหิดล)คือปัตคาตใน เกิดเพราะกินอาหารโอชะมัน ทำให้ตึงทวาร (ปวดถ่าย)เจ็บท้องแน่นท้อง ราวท้องจะเเตก กินอาหารเเม้น้อยก็คับท้อง ขัดอุจจาระเป็นพรรดึก ถ่ายออกเป็นขี้แพะบางทีก็ลงไปเปล่า มักจับวันvอาทิตย์
เส้นสุขุมัง เกี่ยวข้องกับระบบขับถ่ายอุจาระเป็นเส้นบริเวณ ฝีเย็บ ส่วนอาการอื่น ที่อาจจะสืบเนื่องกัน ได้แก่ ประสาทวากัสควบคุมการอาเจียน สะอึก สะอื้น การทำงานของกระบังลม การหอบเหนื่อย สำหรับอาการบวมน่าจะเกี่ยวข้องกับไตหรือหัวใจ
วิธีแก้ : นวดเส้นท้องน้อย โดยกดให้รู้สึกเสียวไปที่ทวาร ทำให้ฝีเย็บถูกเผยออก เกิด การเบ่งอุจาระ การฝึกนวดให้ชำนาญมีกล่าวไว้ในตำรา ต้องให้อาจารย์จับมือกดจึงจะรู้สึกได้
10. เส้นสิกขิณี(สังคินี) (รัตคินี) (สังขิ) ลมประจำเส้นคือ
10.1 ไม่ระบุชื่อลม
1.2 ลมเกิดในเส้นหญิงเรียก สิงขิ หรือสิกขิณี จากลมกุจฉิสยาวาตา อาการคือ เสียดสีข้างทั้งสอง
ผู้หญิงเป็นเพื่อโลหิตหรือเอ็นในมดลูกพิการ เรียกว่าลมกามทุจริต เจ็บท้อง สีข้างสะเอว เเล้วเเล่นเข้าไปในท้อง เเล้วลงมารั้งหัวเข่าทั้งสองข้าง เส้นสิกขิณี กำเริบ มีผลให้เกิดโรคและอาการคือ เสียดสีข้าง ปัสสาวะขุน เจ็บหัวเหน่า เกิด มุตกิด มุตคาต
ผู้ชายบังเกิดในองคชาติ เป็นเพื่อกามราคะนั้นหน่วงเอ็น ทำให้ปัสสาวะหยดย้อย ขัดเบา ปัสสาวะขุ่น เจ็บหัวเหน่าลงท้อง ท้องขึ้น พะอืดพะอมท้อง หนองใน เป็นอุปะทมไส้ด้วน ไส้ลาม เรียก "ราทยักษ์" เกิดจากเอ็นของ องคชาตร้าวหม่นหมอง เกิดจากน้ำกามถูกกั้นไว้ไม่ตกออกเวลากำหนัด หรือน้ำกามก่อโทษ เกิดมีน้ำหนองไหล(หนองใน)
เส้นสิขินี ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินปัสสาวะ ระบบขับถ่ายของเสีย ไต ท่อไต กระเพาะปัสสวะ จุดสำคัญจะอยู่บริเวรท้อง ท้องน้อย มีที่อกและขามาก
วิธีแก้ : นวดเส้นที่ขวางเส้นดังกล่าว แก้เอว ตะโพก นวดท้องน้อยให้คลาย แล้วแต่งยาให้รับประทานลม
ข้อมูล : http://www.ayurvedicthai.com/index.php?lay=boardshow&ac=webboard_show&WBntype=1&No=1446036
ค้นหา [อุปกรณ์แปรรูปอาหารทั้งหมด] [เครื่องบดอาหาร-เครื่องบดต่างๆ] [เครื่องบดพริกแกง ขนาดใหญ่ เครื่องบดสมุนไพร เครื่องบดเครื่องแกง เครื่องบดอาหารชนิดเปียก] [เครื่องบดพริกแกง ขนาดกลาง เครื่องบดอาหารเปียก/เครื่องบดอาหารแห้ง] [เครื่องบดอาหารผง ขนาดใหญ่ เครื่องบดชนิดผง เครื่องบดเครื่องเทศ เครื่องบดพริกแห้งผง เครื่องบดสมุนไพรผง] [เครื่องโม่ ขนาดเล็ก เครื่องบดยา เครื่องบดละเอียด เครื่องบดอาหารผง เครื่องโม่บดยาผง] [เครื่องบดละเอียดต่อเนื่องสเตนเลส เครื่องบดเครื่องเทศผง] [เครื่องบดอาหารสเตนเลส เครื่องบดเนื้อ เครื่องบดหมู เครื่องบดโครงไก่สเตนเลส] [ตู้อบลมร้อน ตู้อบลมร้อนไฟฟ้า ตู้อบลมร้อนแก๊ส ตุ้อบลมร้อนอินฟราเรด ตู้อบลมร้อนอัตโนมัติ ตู้อบแก๊ส เตาอบแก๊ส เตาอบไฟฟ้า] [เครื่องปั่นแยกกาก เครื่องสลัดน้ำมัน เครื่องสลัดน้ำผลไม้ เครื่องแยกกาก] [กระทะกวนมาตรฐาน กระทะกวนชั้นเดียว กระทะกวนผสม] [เครื่องอบอาหาร หม้อทอด ถังกวนอาหาร หม้อกวนผสมอาหาร หม้อกวนอาหาร เครื่องผสม ถังกวนผสมอาหารและถังกลั่น] [เครื่องคั้นน้ำแยกกากแยกน้ำ-เครื่องคั้นกะทิเกลียวอัด เครื่องคั้นไฮโดรลิค] [เครื่องคั้นน้ำผลไม้ เครื่องคั้นน้ำกะทิ เครื่องคั้นกะทิ เครื่องคั้นน้ําผลไม้ เครื่องคั้นน้ํากะทิ เครื่องปั่นแยกกาก] [เครื่องขูดมะพร้าว เครื่องขูดเนื้อผลไม้] [เครื่องกะเทาะกะลา] [เครื่องผสมอาหาร-เครื่องผสมยาทรงลูกเต๋า เครื่องผสมแป้งผง] [ถังปั่นบดย่อยอเนกประสงค์ เครื่องปั่นน้ำผลไม้ ถังปั่นน้ำผลไม้ เครื่องปั่นเกล็ดหิมะ เครื่องปั่นน้ําผลไม้ เครื่องปั่นผลไม้ เครื่องปั่นอาหาร เครื่องปั่น] [เครื่องบดอาหาร] [ตู้อบลมร้อน เครื่องทอด เครื่องผสมอาหารต่างๆ เครื่องกวนและตู้อบสมุนไพร] [เตาอบแห้งเมล็ดพืช เตาอบแก๊ส เตาอบแห้งสมุนไพร] [เครื่องผสมอาหาร เครื่องผสมผงแห้งทรงลูกเต๋า เครื่องผสมแห้ง เครื่องผสมแป้งแห้ง เครื่องผสม] [เตาอบแห้งขนาดกลาง เตาอบแห้งราคาประหยัด] [เครื่องหั่นย่อยกิ่งไม้ เครื่องบดย่อย เครื่องย่อยกิ่งไม้] [เครื่องเคลือบคาราเมล เครื่องเคลือบลมร้อน เครื่องเคลือบน้ำตาล] [เครื่องหั่นตะไคร้ เครื่องหั่นผัก เครื่องสไลด์] [เครื่องดึงใยมะพร้าว] [เครื่องรีดแป้งขนมปัง] [เครื่องนึ่งฆ่าเชื้ออาหาร ถังนึ่งฆ่าเชื้อ หม้อนึ่งฆ่าเชื้อ] [เครื่องคั่ว เครื่องคั่วพริก เครื่องคั่วหมูหยอง เครื่องคั่วเกาลัด] [เครื่องอบ เครื่องทอด เครื่องกวนผสม ถังกวนผสมและกลั่น] [เครื่องบด] [เตาอบแห้งเมล็ดพืช] [เครื่องเหวี่ยงแยกน้ำ เครื่องสลัดน้ำผัก เครื่องสลัดน้ำมัน เครื่องแยกกาก] [เครื่องพาสเจอร์ไรซ์น้ำผลไม้ เครื่องพาสเจอร์ไรซ์น้ำผลไม้ ถังพาสเจอร์ไรซ์ เครื่องพาสเจอร์ไรซ์] [เครื่องหั่นกาบมะพร้าว เครื่องปอกกาบมะพร้าวและเครื่องดึงใย] [เครื่องผสมแป้งเครื่องนวดแป้ง 2 แขน][กระทะกวนผสม 2 ชั้น กระทะกวนผสม กะทะกวนผสม กระทะกวนผสมอาหาร] [น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์] [เตาย่างไร้กลิ่นเขม่าถ่าน เตาอบขนมปัง เตาอบเค้ก เตาอบเค้กกล้วยหอม เตาอบแก๊ส เตาอบไฟฟ้า เตาอบลมร้อน เครื่องอบแห้ง เครื่องอบขนม เครื่องอบลมร้อน เครื่องทำขนม เตาอบแก๊ส เตาอบขนมปังปอนด์ เตาอบเบเกอรี่ เตาอบขนม เตาอบ gas baking oven] [เครื่องออกกำลังกาย] [กลุ่มสีมุกเหลือบพิเศษ] [เครื่องกระตุ้นนวดไฟฟ้า] [เครื่องบรรจุ เครื่องซีลปากถุง เครื่องซีลบรรจุสุญญากาศ เครื่องซีลปากถุงสุญญากาศ เครื่องบรรจุสุญญากาศ เครื่องซีลถุง เครื่องปิดปากถุง เครื่องซีลสุญญากาศ] [อื่นๆ]