30 บันทึกสำคัญของปีกจอมถล่มประตู : คริสเตียโน โรนัลโด
คริสเตียโน โรนัลโด ปีกซูเปอร์สตาร์ทีมชาติโปรตุเกส ของ ʺราชันชุดขาวʺ เรอัล มาดริด มีอายุครบ 30 ปีในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2015
นี่จึงเป็นโอกาสดีที่เราทำการรวบรวมเหตุการณ์สำคัญต่างๆ ในชีวิตของยอดพ่อค้าแข้งชาวโปรตุเกส ทั้งในและนอกสนามมาให้ชมกัน
คริสเตียโน โรนัลโด ปีกซูเปอร์สตาร์ทีมชาติโปรตุเกส ของ ʺราชันชุดขาวʺ เรอัล มาดริด มีอายุครบ 30 ปีในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2015
นี่จึงเป็นโอกาสดีที่เราทำการรวบรวมเหตุการณ์สำคัญต่างๆ ในชีวิตของยอดพ่อค้าแข้งชาวโปรตุเกส ทั้งในและนอกสนามมาให้ชมกัน
ฉายแววยอดนักเตะในเกมอุ่นเครื่องกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด - 2003
หนุ่มน้อยคริสเตียโน โรนัลโด ในวัย 18 ปี ที่ค้าแข้งอยู่กับสปอร์ติง ลิสบอน ในขณะนั้น ได้ระเบิดฟอร์มการเล่นที่น่าประทับใจในเกมที่พบกับทีมยักษ์ใหญ่ของยุโรปอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จนทำให้นักเตะทัพ ʺปีศาจแดงʺ และเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน บรมกุนซือของยูไนเต็ด ประทับใจเป็นอย่างมาก
เซ็นสัญญาร่วมทัพแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด - 2003
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จัดการเซ็นสัญญากับโรนัลโด ให้โยกมาลากเลื้อยในถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด ด้วยค่าตัว 12.24 ล้านปอนด์ ทำให้ปีกรายนี้เป็นนักเตะโปรตุเกส คนแรกที่ได้สวมเสื้อทัพ ʺเร้ด เดวิลส์ʺ
สวมเสื้อหมายเลข 7 ของ ʺปีศาจแดงʺ - 2003
แม้เป็นเพียงนักเตะหนุ่มที่ยังมีประสบการณ์ไม่มากนัก แต่โรนัลโด ก็ได้รับเสื้อหมายเลข 7 ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งเป็นหมายเลขที่มีแข้งระดับตำนานของทีมสวมใส่มาแล้วหลายคนเช่น จอร์จ เบสต์, อีริค คันโตนา และเดวิด เบ็คแฮม
ประตูแรกในทัพ ʺผีแดงʺ - 2003
โรนัลโด ทำประตูแรกของตัวเองกับยูไนเต็ด ด้วยการยิงฟรีคิก ในเกมที่พบกับพอร์ตสมัธ เมื่อ 1 พฤศจิกายน 2003
แชมป์เอฟเอ คัพ - 2004
แชมป์เอฟเอ คัพ คือถ้วยรางวัลใบแรกของโรนัลโด กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โดยเจ้าตัวเป็นผู้ยิงเบิกร่องในเกมรอบชิงชนะเลิศ กับมิลวอลล์ ด้วย
แชมป์ลีก คัพ - 2006
โรนัลโด ยังคงทำประตูสำคัญให้กับทีมอย่างต่อเนื่อง รวมถึงประตูชัยในเกมลีก คัพ รอบชิงชนะเลิศ ฤดูกาล 2005-06 ที่พบกับวีแกน แอธเลติก ก่อนที่ยูไนเต็ด จะชนะไปอย่างขาดลอย 4-0
คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ครั้งแรก - 2007
ปีกทีมชาติโปรตุเกส มีฤดูกาล 2006-07 ที่น่าทึ่ง จากผลงานพาต้นสังกัดคว้าแชมป์ลีกสูงสุดเป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี รวมถึงกวาดรางวัลส่วนตัวเข้าตู้โชว์ที่บ้านอย่างต่อเนื่อง
ลูกฟรีคิกทีเด็ดในเกมที่พบกับพอร์ตสมัธ - 2008
โรนัลโด ขึ้นชื่อเรื่องการยิงฟรีคิก ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และเขาได้ทำการยิงลูกฟรีคิกที่ยอดเยี่ยมที่สุดลูกหนึ่งในชีวิตค้าแข้งของตัวเองในเกมที่พบกับพอร์ตสมัธ เมื่อฤดูกาล 2007-08 โดยเป็นการยิงฟรีคิกที่ทรงพลัง ลูกพุ่งมุดเข้าหาประตู รวมถึงเป็นการยิงด้วยหลังเท้า ไม่ใช่ข้างเท้าด้านไหนเหมือนทั่วไป ซึ่งหลังจากประตูนี้เกิดขึ้น ก็มีอีกหลายคนเริ่มยิงเช่นเดียวกับปีกชาวโปรตุเกส นับตั้งแต่นั้นมา
แชมป์พรีเมียร์ลีก - 2008
ฤดูกาล 2007-08 คือฤดูกาลที่ดีที่สุดของโรนัลโด กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โดยทำไปทั้งสิ้น 31 ประตู มากที่สุดในหนึ่งฤดูกาลระบบปัจจุบัน ( 38 เกมต่อฤดูกาล) เทียบเท่ากับที่อลัน เชียเรอร์ ตำนานดาวยิงทีมชาติอังกฤษ เคยทำเอาไว้ พร้อมช่วยให้ ʺปีศาจแดงʺ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ต่อเนื่องกันเป็น 2 อีกทั้งคว้ารางวัลส่วนตัวอีกมากมาย รวมถึงรางวัลนักฟุตบอลแห่งปีของสมาคมนักฟุตบอลอาชีพ รองเท้าทองคำของพรีเมียร์ลีก และของยุโรป
คว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 2008
ฤดูกาล 2007-08 ของโรนัลโด สิ้นสุดลงด้วยการคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ร่วมกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โดยในเกมรอบชิงชนะเลิศ ปีกชาวโปรตุเกส ยิงให้ต้นสังกัดขึ้นนำก่อนจบเกมด้วยผลเสมอ 1-1 และต้องยิงจุดโทษตัดสิน และแม้เขาจะยิงพลาด แต่ทัพ ʺเร้ด เดวิลส์ʺ ก็ยังมีดวงและพลิกกลับมาคว้าแชมป์ยุโรป เป็นสมัยที่ 3 ได้สำเร็จ
ผงาดคว้าบัลลงดอร์ - 2008
ผลงานอันยอดเยี่ยมตลอดทั้งฤดูกาล 2007-08 ส่งผลให้โรนัลโด ได้รับรางวัลฟีฟ่า บัลลงดอร์ เป็นครั้งแรกในชีวิต
ผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีของฟีฟ่า - 2008
โรนัลโด คว้ารางวัลผู้เล่นแห่งปีของฟีฟ่า มาครองได้สำเร็จในปี 2008 หลัง ได้อันดับ 3 รองมาจากลิโอเนล เมสซี และกาก้า ในปี 2007 และกลายเป็นนักเตะจากพรีเมียร์ลีก คนแรกที่ได้รับรางวัลนี้
สุดยอดประตูในเกมที่พบกับเอฟซี ปอร์โต ในศึกแชมเปี้ยนส์ลีก - 2009
ในเกมการแข่งขันยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ปี 2009 โรนัลโด จัดการซัดประตูระยะไกลถึง 40 หลา ช่วยให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทะลุเข้าสู่รอบรองชนะเลิศ ได้สำเร็จ ซึ่งลูกยิงนี้ทำให้เขาได้รับรางวัลประตูยอดเยี่ยมแห่งปี ʺฟีฟ่า ปุสกัส อวอร์ดʺ เป็นครั้งแรกในชีวิตด้วย
ประตูสุดท้ายในสีเสื้อยูไนเต็ด - 2009
โรนัลโด ปิดฉากฤดูกาล 2008-09 ซึ่งเป็นซีซั่นสุดท้ายของตัวเองในสีเสื้อยูไนเต็ด ด้วยการยิงฟรีคิกสุดสวยในศึกแมนเชสเตอร์ ดาร์บีแมตช์ กับแมนเชสเตอร์ ซิตี ที่สนามโอลด์ แทรฟฟอร์ด
คว้าแชมป์พรีเมียรลีก อีกครั้ง - 2009
ปีกแดนฝอยทอง จบซีซั่นสุดท้ายกับ ʺปีศาจแดงʺ ด้วยการยิงไปถึง 26 ประตู และคว้าแชมป์ลีกเป็นสมัยที่ 3
ย้ายร่วมทัพเรอัล มาดริด ด้วยค่าตัวสถิติโลก - 2009
วันที่ 6 กรกฎาคม 2009 โรนัลโด เปิดตัวในฐานะนักเตะของ ʺราชันชุดขาวʺ เรอัล มาดริด ยักษ์ใหญ่แห่งศึกลา ลีกา สเปน ต่อหน้าแฟนบอลจำนวนมหาศาลที่สนามซานติอาโก เบร์นาเบว โดยมูลค่าการย้ายทีมครั้งนี้สูงถึง 80 ล้านปอนด์ มากสุดในประวัติศาสตร์โลกฟุตบอลขณะนั้น ก่อนที่สถิติของเขาจะถูกทำลายลงในปี 2013 โดยแกเร็ธ เบล เพื่อนรวมทีมของเขาในอนาคต (85.3 ล้านปอนด์)
เริ่มความสัมพันธ์กับอิรีนา เชค - 2010 ถึง 2015
โรนัลโด เริ่มคบหากับอิรีนา เชค ซูเปอร์โมเดลชาวรัสเซีย ในปี 2010 และสานสัมพันธ์กันเป็นระยะเวลา 5 ปี ก่อนจะมีการประกาศแยกทางกันในปี 2015
ถือกำเนิดลูกชายคนแรก - 2010
โรนัลโด กลายเป็นพ่อคน ในวันที่ 17 มิถุนายน 2010 และตั้งชื่อลูกชายว่า คริสเตียโน โรนัลโด จูเนียร์
สวมเสื้อหมายเลข 7 ลงล่าตาข่ายให้ ʺราชันชุดขาวʺ - 2010
ครั้งแรกที่โรนัลโด ย้ายมาร่วมทีมเรอัล มาดริด เขาได้รับเสื้อหมายเลข 9 เนื่องจาก ขณะนั้นเสื้อหมายเลข 7 เป็นของราอูล กอนซาเลส ดาวยิงระดับตำนานของทีม แต่หลังจากที่ดาวยิงทีมชาติสเปน ตัดสินใจย้ายไปร่วมทัพชาลเก 04 ในช่วงซัมเมอร์ปี 2010 ทำให้เสื้อตัวนี้ถูกมอบให้กับโรนัลโด
พังประตูในศึก โกปา เดล เรย์ รอบชิงชนะเลิศ - 2011
ความยอดเยี่ยมของเป๊ป กวาร์ดิโอล่า ยอดกุนซือบาร์เซโลนา และลิโอเนล เมสซี ทำให้ฤดูกาลแรกของโรนัลโด กับมาดริด จบลงด้วยการไม่สามารถคว้าถ้วยมาประดับสโมสร ได้แม้แต่ถ้วยเดียว อย่างไรก็ตาม ในศึกโกปา เดล เรย์ ฤดูกาล 2010-11 รอบชิงชนะเลิศ ปีกทีมชาติโปรตุเกส ได้บันดาลประตูชัยให้กับเรอัล มาดริด และคว้าชัยเหนือคู่ปรับตลอดกาลอย่างบาร์เซโลนา ได้สำเร็จ
ซัลโว 100 ประตูให้ ʺราชันชุดขาวʺ -2012
โรนัลโด จัดการยิงครบ 100 ลูกในสีเสื้อ ʺชุดขาวʺ ในเกมที่พบกับเรอัล โซเซียดาด เมื่อ 24 มีนาคม 2012
ประตูสำคัญในเกมกับบาร์เซโลนา ที่คัมป์ นู - 2012
กับขับเคี่ยวแย่งแชมป์ลา ลีกา ฤดูกาล 2011-12 ระหว่างเรอัล มาดริด และบาร์เซโลนา เป็นไปอย่างเข้มข้น จนมาถึงนัดสำคัญที่ ʺราชันชุดขาวʺ ต้องบุกไปเยือนทัพ ʺอาซุลกรานาʺ ถึงสนามคัมป์ นู และเป็นโรนัลโด ที่ยิงประตูชัยให้ ʺลอส บลังโกสʺ เอาชนะได้สำเร็จและคว้าแชมป์ไปครองในที่สุด
คว้าแชมป์ลา ลีกา ครั้งแรก - 2012
ผลงานระดับปรากฎการณ์ของโรนัลโด ในซีซั่น 2011-12 ช่วยให้ เรอัล มาดริด คว้าแชมป์ลา ลีกา มาครองได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี
ฮีโร่ผู้พาโปรตุเกส เข้าเล่นฟุตบอลโลก 2014 รอบสุดท้าย
โรนัลโด คือผู้บันดาลความสำเร็จให้กับทีมชาติโปรตุเกส ได้เข้าไปแข่งศึกฟุตบอลโลก 2014 รอบสุดท้ายที่บราซิล อย่างแท้จริง โดยจัดการยิงไปถึง 4 ประตูในการเตะเพลย์ออฟกับทีมชาติสวีเดน ทั้ง 2 นัด อีกทั้งยังเป็นการทำแฮททริก ในเกมนัดที่สองด้วย
คว้ารางวัลบัลลงดอร์ประจำปี 2013
ซูเปอร์สตาร์ชาวโปรตุเกส ได้รับรางวัลฟีฟ่า บัลลงดอร์ มาครองอีกครั้งจากผลงานทำลายสถิติมากมายในซีซั่น 2012-13 โดยมีคะแนนเหนือลิโอเนล เมสซี คู่ปรับตลอดกาลจากบาร์เซโลนา และฟร็องก์ ริเบรี ปีกดาวดังจากบาเยิร์น มิวนิก
ได้รับเครื่องราชฯ ชั้นสูงสุดของโปรตุเกส - 2014
โรนัลโด ได้รับเกียรติสูงสุดในชีวิตจากการได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ แกรนด์ ออฟฟิเซอร์ ออฟ เดอะ ออเดอร์ ออฟ ปรินซ์ เฮนรี ซึ่งถือเป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสูงสุดของเจ้าชายเฮนรี แห่งโปรตุเกส จากการสร้างชื่อเสียงให้กับวงการฟุตบอลโปรตุเกส เมื่อ มกราคม 2014
เปิดตัวพิพิธภัณฑ์CR7 - 2013
หลังจากที่ได้รับความนิยมจากแฟนบอลในโปรตุเกส บ้านเกิดของตนเองอย่างล้นหลาม ทำให้โรนัลโด ตัดสินใจเปิดพิพิธภัณฑ์ของตัวเองขึ้นมาในปี 2013 ซึ่งข้างในนั้นประกอบไปด้วยถ้วยรางวัลและบันทึกสำคัญต่างๆของเขา
คว้าแชมป์ ʺลา เดซิมาʺ - 2014
การคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ร่วมกับเรอัล มาดริด คือเป้าหมายระยะยาวที่โรนัลโด ต้องการ และฝันของเขากลายเป็นจริงในฤดูกาล 2013-14 เมื่อทัพ ʺลอส บลังโกสʺ สามารถคว้าชัยเหนือแอตเลติ โกมาดริด คู่ปรับร่วมเมือง ในรอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จ ด้วยสกอร์ 4-1 ซึ่งโรนัลโด เป็นหนึ่งในผู้ทำประตูของทัพ ʺราชันชุดขาวʺ ด้วย ทำให้เขากลายเป็นนักเตะคนแรกที่สามารถยิงประตูให้ต้นสังกัดคว้าแชมป์ยูโรเปียนคัพ มาครองได้สำเร็จถึงสองทีม
เปิดตัวรูปปั้นทองแดง - 2014
ความเป็นที่นิยมรวมถึงความสำเร็จของโรนัลโด ถูกบันทึกไว้อีกครั้ง หลังจากมีการเปิดตัวรูปปั้นจำลองที่ทำจากทองแดงสูง 2.4 เมตร ที่มาเดรา บ้านเกิดเมืองนอนของดาวยิงทีมชาติโปรตุเกส
คว้ารางวัลฟีฟ่า บัลลงดอร์ ประจำปี 2014